มะเร็งและเรื่องที่ทุกคนควรรู้ เมื่อคนใกล้ตัวตรวจพบโรคมะเร็ง
เฟร็ดเดอริค โจเซฟ เฮกเนอร์,
ผู้จัดการสุขภาพส่วนภูมิภาค กลุ่มบริษัท ทูนโพรเทค: มุ่งเน้นที่ความเรียบง่ายและการสร้างการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าประกันภัยของเรา
เผยแพร่ 20 เมษายน 2022
เราเชื่อว่ามีโอกาสค่อนข้างสูง ที่คุณจะมีคนรู้จักที่เคยเป็นมะเร็งหรือกำลังเป็นมะเร็งอยู่
มะเร็งเป็นโรคที่แพร่ระบาดในวงกว้างของผู้คนนับล้าน ไม่ว่าเราจะเป็นเองหรือมีคนใกล้ชิดที่เป็นมะเร็ง ซึ่งสามารถพูดได้ว่าโรคมะเร็งกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราและแพร่กระจายอยู่ในสังคมปัจจุบันเป็นอย่างมากในปัจจุบัน
ปัจจุบันเรามีอายุยืนยาวขึ้น ทำให้มีโอกาสที่ต้องเจอกับสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งในสิ่งแวดล้อมเพิ่มสูงขึ้นด้วย ส่งผลให้โอกาสที่เราจะเป็นมะเร็งในช่วงชีวิตหนึ่งนั้นสูงมาก
โรคมะเร็งส่งผลกระทบต่อทุกคนในทุกช่วงอายุ ทุกสถานะทางการเงิน เพศ และแม้กระทั่งสัตว์ก็ตาม เนื่องจากเป็นโรคที่เป็นกันอย่างแพร่หลาย เราจึงจำเป็นต้องพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางการป้องกัน และวิธีการรักษา รวมถึงแนวทางการใช้ชีวิตไปกับโรคมะเร็ง
อย่างไรก็ตาม แนวทางการรักษามะเร็งก็ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมากและสามารถช่วยให้คนรอดชีวิตจากโรคที่ซับซ้อนและมีความร้ายแรงถึงชีวิตนี้ได้มากขึ้น (มีมะเร็งมากกว่า 120 ชนิด) โดยในสหรัฐอเมริกา จำนวนผู้รอดชีวิตจากโรคมะเร็งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 26 ล้านคนภายในปี 2583 และเปอร์เซ็นต์ของผู้ที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้มากกว่า 5 ปีหลังจากตรวจพบโรคมะเร็ง คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 35% ระหว่างปี 2560 ถึง 2570
ในการทำงานของผมที่ PGH รวมถึงในชีวิตส่วนตัว ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พูดคุยและช่วยเหลือผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกที่กำลังเผชิญกับประสบการณ์ที่ยากลำบากและท้าทายนี้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติได้เห็นการแสดงความเข้มแข็งและการแสดงความรักจากบุคคลเหล่านี้ รวมถึงครอบครัวของพวกเขาและระบบการสนับสนุนต่างๆ
การสร้างความสัมพันธ์กับผู้ป่วยและการทำความเข้าใจเรื่องราว ความต้องการ ความพึงพอใจ ความคาดหวัง และความปรารถนาของพวกเขาเป็นองค์ประกอบสำคัญของการบริหารจัดการการดูแลผู้ป่วยเหล่านี้ และรวมถึงระบบต่าง ๆที่อยู่รอบตัวพวกเขาอีกด้วย
ความรู้ ทักษะการรักษา การเอาใจใส่ และความเห็นอกเห็นใจล้วนเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับผู้จัดการฝ่ายดูแลส่วนบุคคล การสร้างความสัมพันธ์ที่เน้นความไว้วางใจกันและการสร้างปฏิสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้ป่วยและกับครอบครัวของพวกเขา สิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนในการพูดคุยและดำเนินการวางแผนการรักษาและการดูแลผู้ป่วย นอกจากนี้ยังช่วยให้เรามั่นใจว่าความต้องการของผู้ป่วยจะไม่ถูกเพิกเฉยและได้รับการดำเนินการ ความสัมพันธ์เช่นนี้จะต้องเกิดขึ้นและถูกถ่ายทอดไปยังฝ่ายอื่น ๆ และทีมแพทย์ของพวกเขา โดยเราจะมุ่งเน้นการทำงานตามความต้องการผู้ป่วยผ่านการดูแลร่วมกับ PGH
ผมมักโดนถามว่า "ผมควรทำอย่างไร เมื่อรู้ว่าคนรู้จักเป็นมะเร็ง" นี่เป็นคำถามที่สำคัญมาก ข้อมูลด้านล่างนี้คือคำแนะนำและเคล็ดลับบางอย่างที่ผมได้เรียนรู้และพบเจอมา
ขอให้จำไว้ว่าไม่มีสูตรสำเร็จเกี่ยวกับแนวทางการตอบสนองเมื่อเรารู้ว่าเพื่อนหรือคนในครอบครัวของเราเป็นมะเร็ง ผู้ที่เป็นมะเร็งอาจต้องเจอเหตุการณ์นี้เป็นครั้งแรกรวมถึงตัวคุณด้วย คุณสามารถเลือกที่จะอยู่เคียงข้างพวกเขา แทนที่จะแบกรับมันไว้เอง การแบ่งปันความรัก มิตรภาพ การฟังหรือการเบี่ยงเบนเปลี่ยนเรื่อง (ตามความจำเป็นแล้วแต่สถานการณ์) การอยู่ร่วมกับพวกเขาเป็นส่วนสำคัญในการรักษาและการสนับสนุนพวกเขาเมื่อพวกเขาต้องเจอกับกระบวนการตรวจ การรักษา และหลังการรักษาโรค
ความตกใจที่เกิดขึ้นในช่วงแรกของการเป็นมะเร็ง
การตรวจพบโรคมะเร็งมักจะทำให้คนตกใจ ตื่นกลัว บางครั้งในตัวเราก็ตั้งคำถามว่า ฉันจะตายไหม? คำตอบนั้นขึ้นอยู่กับว่าเป็นมะเร็งที่รักษาได้หรือไม่และมีอัตราการรอดชีวิตสูงเท่าไร ระยะของโรคที่วินิจฉัย และการเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพและทีมแพทย์ หรือคำถามอื่น ๆเช่น ฉันจะสูญเสียส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมั้ย (เช่น เต้านมหรือขา) หรือสมรรถภาพทางกายหรือไม่? การวินิจฉัยถูกต้องหรือไม่? ฉันจะทำอย่างไร? จะเสียเส้นผมไปหรือไม่? ชีวิตฉันจะเปลี่ยนไปอย่างไร?
สิ่งที่ต้องดำเนินการจะรวมถึงการประมวลผลทางอารมณ์ การรวบรวมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินงานและแนวทางการรักษา การยืนยันว่ากับผู้ป่วยว่าการวินิจฉัยนั้นถูกต้อง การทำความเข้าใจโรค รวมถึงความเสี่ยงและผลกระทบของการรักษา
ในด้านสังคมของเรา เราต้องตัดสินใจว่าจะเราจะแชร์เรื่องเหล่านี้ให้กับเพื่อนที่ทำงานเท่าไร และเตรียมการเพื่อช่วยเหลือตนเองตลอดการรักษาและฟื้นฟูในทางปฏิบัติ อารมณ์ และจิตใจ
การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมะเร็ง
ระหว่างและหลังการบำบัด ผู้คนที่เป็นมะเร็งยังต้องดำเนินชีวิตและทำหน้าที่ของตนเองไม่ว่าจะเป็นในการอยู่กับครอบครัว การเป็นนักเรียนหรือคนทำงาน และบางครั้งมะเร็งก็สามารถกลับมาอีกและพวกเขาก็ต้องเข้ารับการรักษาอีกครั้งและต้องกลับมารับความรู้สึก อารมณ์ จากการเป็นมะเร็งอีกครั้ง
เพื่อนและครอบครัวควรต้องตระหนักอะไร?
หลายๆ ครั้งที่ผมได้ยินคนที่เป็นมะเร็งพูดว่าพวกเขาต้องการให้ผู้คนตระหนักถึงสิ่งต่อไปนี้เกี่ยวกับโรคมะเร็งมากขึ้น:
• มะเร็งไม่ใช่โทษประหารชีวิต แม้ว่าเรามักจะเชื่อมโยงมะเร็งกับความตาย แต่มีโอกาสสูงที่คนที่เป็นมะเร็งจะอยู่ร่วมกับมะเร็งได้นานกว่า 2 ปีหรือมากกว่านั้น (นับตั้งแต่ตรวจพบ) การเป็นมะเร็งและการรักษาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต
• มะเร็งเป็นเหมือนการตัววัดความสัมพันธ์ของทั้งครอบครัวและกลุ่มที่สนับสนุนผู้ป่วย มันส่งผลกระทบต่อทุกคนที่อยู่รอบตัวผู้ที่เป็นมะเร็ง และสามารถทำให้ความสัมพันธ์ของเพื่อนและครอบครัวของพวกเขาแย่ลงหรือดีขึ้นได้
• ชีวิตเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ เรามีความเข้าใจผิดและอาจได้รับข้อมูลว่ามะเร็งเป็นเรื่องไกลตัว เช่น คิดว่า มันจะไม่เกิดขึ้นกับฉันหรือกับคนใกล้ชิดของฉัน เรายังเด็กเกินไป ยังแข็งแรง ยังกระตือรือร้นหรือคิดว่าตัวเราโชคดีคงไม่เป็นหรอก แต่บางครั้งชีวิตก็เปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ แทนที่จะหลีกเลี่ยงการพูดถึงมัน (ซึ่งคนส่วนใหญ่จะทำแบบนั้น) ผู้ป่วยโรคมะเร็งและผู้รอดชีวิตบางรายต้องการให้เราพูดถึงประสบการณ์นี้ เราต้องเตรียมความพร้อมที่จะเริ่มการสนทนาเหล่านี้
ปฏิกิริยาจากเพื่อนและครอบครัว ต่อการวินิจฉัยโรคมะเร็ง
จากข้อมูลที่ได้รับจากเพื่อนและครอบครัวของผู้ป่วย เรามีโอกาสที่จะตกอยู่ได้ทุกที่จากกราฟด้านบน เราอาจเจอคนที่ไม่พร้อมที่จะรับมือกับข่าวและไม่ต้องการรู้อะไรเกี่ยวกับบุคคลนั้น พวกเขาอาจทำตัวออกห่างจากผู้ป่วยหรือหายตัวไปซึ่งจะดูเหมือนเป็นการทอดทิ้ง ในทางกลับกันก็จะมีคนจำนวนมากที่จะอยู่กับผู้ป่วยแบบไม่มีข้อแม้และพร้อมช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเต็มที่
คนส่วนใหญ่มักจะตกอยู่ตรงกลาง ต้องการอยู่เคียงข้างผู้ป่วยเพราะพวกเขาห่วงใยอย่างจริงใจ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี คนเหล่านี้จะมีพฤติกรรมสลับกันไปมาระหว่างไม่ต้องการดูเลินเล่อแต่ไม่อยากล่วงล้ำผู้ป่วย
สิ่งที่เราควรทำและไม่ควรทำ
หากคนที่คุณรู้จักทราบว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งและบอกเรื่องนี้กับคุณ เราต้องไม่กลัวที่จะพูดให้กำลังใจและถามสิ่งที่พวกเขาต้องการ
สิ่งต่อไปนี้คือข้อเสนอแนะบางประการในการตอบสนองกับผู้ที่เป็นมะเร็งโดยจะแบ่งเป็นสิ่งที่ทำแล้ว ผู้ป่วยจะรู้สึกสบายใจและสิ่งที่ทำให้ผู้ป่วยอาจรู้สึกไม่สบายใจ
บางสิ่งที่ถูกคาดหวัง
เราต้องพร้อมที่จะลืมวิธีคิดบางอย่างและเรียนรู้สิ่งใหม่ เช่น วิธีการมองโลกของเราและการอยู่ในโลกของเรา:
1. ความสัมพันธ์ไม่สามารถแบ่งเป็น 50/50 ได้ โดยความสัมพันธ์กับคนที่เป็นมะเร็งจะไม่สามารถมีความเท่าเทียมกันได้อย่างสมบูรณ์ สิ่งนี้รวมถึงสิ่งอื่น ๆนอกเหนือจากมะเร็ง เช่น สุขภาพจิตหรือความเศร้าโศก พวกเขาไม่ได้ใช้มะเร็งเป็นข้ออ้างหรือทำให้ตัวเองดูเหมือนเป็นเหยื่อ แม้ว่าอาจจะดูไม่ยุติธรรมแต่พวกเขาต้องการพลังงาน สมาธิ และการสนับสนุนในการรักษา
2. มันโอเคที่จะมีวันที่เลวร้ายและมันโอเคที่เราจะขอความช่วยเหลือผู้อื่น บางครั้งผู้คนเชื่อว่าพวกเขาต้องอยู่กับความคิดเชิงบวกและเข้มแข็งและทำทุกอย่างด้วยตัวเองเพื่อตนเองหรือผู้อื่น มันไม่เป็นไรที่เราจะนอนลง ขอความช่วยเหลือ อยู่เฉยๆไม่ต้องทำสิ่งต่างๆ และรู้สึกไปกับทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้น
3. มีผู้คนเข้ามาและออกไปจากชีวิตเรา บางครั้งผู้คนก็เข้าหา เยี่ยมเยียน คนที่เขารู้จักที่เป็นมะเร็ง แต่บางครั้งก็อาจจะไม่มาเลย มันช่วยได้มากหากเราจะไม่ไปรู้สึกไม่ดีต่อคนที่ไม่ติดต่อเรามา แต่เราควรจะชื่นชมความจริงที่ว่าในช่วงชีวิตตอนที่คุณได้อยู่ร่วมกันกับคนเหล่านั้น คุณได้เรียนรู้และเติบโตมาด้วยกัน
สิ่งที่ให้ความหวัง
1. ความรักและมิตรภาพ ในขณะที่ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ท้าทายในชีวิต เรามักจะได้รับของขวัญจากการได้เห็นคนเหล่านั้นที่อยู่ที่นั่นเพื่อคุณและรู้ว่าพวกเขารักคุณมากเพียงใด
2. การขอบคุณ เมื่อต้องเผชิญกับความเจ็บป่วย เนื่องจากโรคนี้จะมารบกวนหลายสิ่งหลายอย่าง เราจึงเรียนรู้มากมายเกี่ยวกับการรู้สึกขอบคุณ ทุกคนมีวันที่แย่ แม้ว่าคุณจะไม่เป็นมะเร็งก็ตาม แม้ว่าคุณจะไม่ได้มองไปข้างหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายอะไรบางอย่าง การฝึกการรู้จักขอบคุณนั้นก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่ว่าคุณจะมีเรื่องอะไรหรือจะเป็นใครก็ตาม รู้สึกขอบคุณที่ชีวิตในแต่ละช่วงเวลานั้นแตกต่างกันและทำให้คุณได้เห็นสิ่งใหม่ๆตลอดเวลา
3. การยอมรับ มันง่ายที่จะปฏิเสธอารมณ์เชิงลบและต้องการเพิ่มความคิดเชิงบวก นี่คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น วิธีที่สุภาพคือการยอมรับสิ่งที่เป็นลบ โดยไม่วิจารณ์หรือตัดสิน ปฏิเสธ โทษตัวเอง หรือพยายามจะทำให้ตัวเองรู้สึกขอบคุณและคิดบวก เพราะคุณคิดว่านั่นคือสิ่งที่คุณคิดว่าคุณควรทำ[1]
การนำคำว่า 'ควร' ออกจากการใช้ชีวิตจะช่วยคุณได้
4. ผู้คนใหม่และมุมมองใหม่ ในการตอบสนองต่อโรคมะเร็ง คนเรามักได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ มากมายและพบปะผู้คนและมุมมองใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น นอกจากวิทยาศาสตร์ตะวันตกแล้ว ยังมีอะไรอีกมากมายให้เรียนรู้จากวิธีการรักษาแบบอื่นจากวัฒนธรรมอื่น
5. ความเห็นอกเห็นใจและการให้อภัย ทุกคนกำลังผ่านบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโรค ความสูญเสีย ความเจ็บปวด หรือความไม่มั่นคง เราไม่มีทางรู้แน่ชัดว่าคนอื่นกำลังประสบอะไร แต่เราสามารถเห็นอกเห็นใจ ให้อภัย รับฟังและใส่ใจมากขึ้น
ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของการไม่ยอมแพ้ ความเห็นอกเห็นใจ ความโกรธ ความเศร้า ความหวัง ความรัก ความมุ่งมั่น และความมุ่งมั่นของผู้ป่วย แพทย์ ผู้จัดการฝ่ายดูแล เพื่อนและครอบครัวที่กำลังเผชิญกับโรคมะเร็ง
ประสบการณ์ของพวกเขาทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการรักษา ตลอดจนการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และการวิจัยครั้งใหญ่ทำให้ฉันหวังว่าวันหนึ่งเราจะมีวิธีการรักษาโรคมะเร็งได้ ในระหว่างนี้ เราจะได้เรียนรู้และชื่นชมชีวิตในทุกความซับซ้อนและประสบการณ์ เมื่อเรารับทราบว่าเราต้องอยู่กับผู้ที่เป็นมะเร็ง เราจะสามารถเข้าใจโรคนี้ได้ดีขึ้นและรู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกันต่อไป
แหล่งที่มา:
- “Study cancer survivors”. Nature568, 143 (2019).
[1] Jiddu Krishnamurti, a 20th century Indian philosopher, explained the difference between introspection and acceptance as introspection being akin to self-analysis and a means to understand and to change something. For example, to be different, or to attain something you want, such as be less angry or more kind. When you fail at changing and the end is not achieved – from the point of view of the observer, the ‘I’ – then frustration and depression might arise. Acceptance, awareness, are different in that it is observation without condemnation, justification, or identification. Acceptance is looking at what is, without categorizing, trying to shift or change it, judge it or expect something. The magic is that there is transformation, and movement and change in acceptance.